Browse By

Monthly Archives: September 2025

การเตรียมจิตใจก่อนแข่ง Visualization & Mental Routine

การเตรียมจิตใจก่อนแข่ง Visualization & Mental Routine จิตใจคืออาวุธลับของนักวิ่ง การซ้อมกายภาพอาจเป็นสิ่งที่นักวิ่งส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ แต่สิ่งที่มักถูกละเลยคือ “จิตใจ” ในวันแข่งจริง ร่างกายอาจฟิตเต็มร้อย แต่หากจิตใจไม่มั่นคง ความกดดัน ความกังวล หรือความกลัวเหนื่อย อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้า Visualization (การมองเห็นภาพในใจ) และ Mental Routine (กิจวัตรทางจิตใจ) คือสองเครื่องมือสำคัญที่นักวิ่งอีลิททั่วโลกใช้เพื่อเตรียมสมองให้พร้อมในทุกการแข่งขัน Visualization คืออะไร? คือการ “ซ้อมในหัว” โดยการสร้างภาพเสมือนจริงของการแข่งขัน ตั้งแต่การสตาร์ทจนถึงเส้นชัย เช่น จินตนาการการก้าวเท้า การหายใจ เสียงเชียร์ หรือแม้แต่ความเหนื่อยช่วงกิโลเมตรที่ 35 ประโยชน์ของ Visualization Mental Routine คืออะไร? Mental Routine หมายถึง “กิจวัตรทางจิตใจ” ที่นักวิ่งใช้ก่อนและระหว่างแข่ง

กลยุทธ์การแข่งมาราธอน การวิ่งขึ้น-ลงเนินในเส้นทางจริง

กลยุทธ์การแข่งมาราธอน การวิ่งขึ้น-ลงเนินในเส้นทางจริง ทำไม “เนิน” คือศัตรูและมิตรของนักวิ่งมาราธอน มาราธอนไม่ได้มีแค่ถนนราบเรียบเสมอไป หลายสนามทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Boston Marathon, Tokyo Marathon, Chiang Mai Marathon มีเส้นทางที่เต็มไปด้วย “เนิน” การวิ่งขึ้น-ลงเนินอาจเป็นตัวชี้ชะตาว่าเราจะจบสวยหรือพังกลางทาง การเตรียมกลยุทธ์สำหรับ เนินจริง จึงสำคัญ เพราะหากใช้แรงผิดจังหวะ คุณอาจหมดแรงตั้งแต่ครึ่งทาง แต่ถ้าวางเพซและฟอร์มถูกต้อง เนินจะกลายเป็นจุดที่แซงคู่แข่งได้ ความแตกต่างของ “ขึ้นเนิน” และ “ลงเนิน” การรู้จังหวะทั้งสองจึงเป็นกุญแจสำคัญของการแข่งมาราธอน เทคนิคการวิ่ง “ขึ้นเนิน” เทคนิคการวิ่ง “ลงเนิน” กลยุทธ์การจัดการเนินในมาราธอน 1. วิเคราะห์เส้นทางล่วงหน้า 2. วางเพซตามสภาพจริง 3. ใช้เนินเป็น “ตัวแบ่งระยะ” 4. ฝึก Hill

การแบ่งเพซทุก 5 กม. สำหรับมาราธอน: ศาสตร์การควบคุมจังหวะสู่เส้นชัย

การแบ่งเพซทุก 5 กม. สำหรับมาราธอน: ศาสตร์การควบคุมจังหวะสู่เส้นชัย ทำไมการแบ่งเพซสำคัญกับมาราธอน มาราธอน (42.195 กม.) ไม่ใช่การวิ่งแข่งที่ใครเร็วกว่าในช่วงแรก แต่คือเกมกลยุทธ์ที่วัดกันตลอดระยะทางยาวนาน การออกตัวเร็วเกินไปคือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้นักวิ่งหมดแรงก่อนถึงเส้นชัย ในขณะที่การเริ่มช้าเกินไปก็อาจทำให้พลาดเป้าหมายเวลา การแบ่งเพซทุก 5 กม. จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะช่วยให้นักวิ่งรู้ว่าควรวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ในแต่ละช่วง เพื่อให้พลังงานสมดุลและรักษาฟอร์มจนถึงกิโลเมตรสุดท้าย หลักคิด: ทำไมใช้ “ทุก 5 กม.” เป็นหน่วย กลยุทธ์หลักในการแบ่งเพซ 1. Even Split วิ่งด้วยเพซคงที่ตลอด เช่น เป้า 4 ชม. = เพซ 5:41 นาที/กม. → ทุก 5 กม. ควรใช้เวลา ~28:25 นาที

การควบคุมเพซ (Pacing) เทคนิค Negative Split vs Positive Split

การควบคุมเพซ (Pacing) เทคนิค Negative Split vs Positive Split ทำไม Pacing คือกุญแจของนักวิ่ง ไม่ว่าคุณจะวิ่ง 5K, 10K, ฮาล์ฟมาราธอน หรือมาราธอนเต็มระยะ สิ่งที่ตัดสินว่า “จะเข้าเส้นชัยอย่างมั่นคงหรือหมดแรงกลางทาง” ไม่ใช่แค่เรื่องการซ้อม แต่คือ การควบคุมเพซ (Pacing) นักวิ่งหลายคนล้มเหลวเพราะออกตัวเร็วเกินไป หรือไม่สามารถคุมพลังงานให้ถึงเส้นชัย การเข้าใจ เทคนิค Negative Split และ Positive Split จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้ว่าควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง Pacing คืออะไร? Pacing หมายถึงการควบคุมความเร็วในการวิ่งให้เหมาะสมกับระยะและพลังงานที่มี เปรียบเหมือนการจัดการ “งบประมาณพลังงาน” ถ้าใช้มากเกินไปตั้งแต่ต้นก็หมดก่อน แต่ถ้าใช้ช้าเกินไปก็เสียโอกาสทำเวลา Negative Split คืออะไร? Positive Split

Tapering เทคนิคการซ้อม 2–3 สัปดาห์ ก่อนแข่ง

Tapering เทคนิคการซ้อม 2–3 สัปดาห์ ก่อนแข่ง เพื่อความสดใหม่ในวันจริง Tapering คืออะไร? หลายคนเข้าใจผิดว่าช่วง 2–3 สัปดาห์ก่อนแข่งควร คาสิโน ufabet เว็บตรง ครบทุกเกมเดิมพัน “ซ้อมให้หนักที่สุด” เพื่อเก็บแต้มความฟิตสุดท้าย แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม—ช่วงเวลานี้คือการ Tapering หรือ การลดปริมาณการซ้อม เพื่อให้ร่างกายได้พัก ฟื้นตัว และพร้อมระเบิดฟอร์มที่ดีที่สุดในวันแข่ง การ Taper ไม่ใช่การหยุดซ้อม แต่เป็นการ ปรับลดไมล์และความหนักอย่างมีระบบ เพื่อให้สมดุลระหว่าง “การฟิต” และ “การฟื้น” ทำไม Tapering ถึงสำคัญ? หลักการ Tapering ตัวอย่างการ Tapering 3 สัปดาห์ (สำหรับมาราธอน) สัปดาห์ -3